ไก่โตช้ากับหลักสวัสดิภาพสัตว์
ข่าว
เป็นเวลานานหลายปีที่ประเทศไทยครองแชมป์ส่งออกเนื้อไก่แปรรูปติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก และเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่แปรรูปอันดับหนึ่ง โดยคิดเป็นประมาณ 40% ของการผลิตเนื้อไก่ทั้งหมด มีสหภาพยุโรปและประเทศญี่ปุ่นเป็นลูกค้าคนสำคัญ
จนเมืองไทยสามารถทำรายได้เข้าประเทศได้กว่าแสนล้านบาทในแต่ละปีทำให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งมั่นใจในความปลอดภัยของอาหารและมาตรฐานด้านสวัสดิภาพสัตว์ หรือ Animal Welfare ของอุตสาหกรรมไก่เนื้อของเมืองไทย
อย่างไรก็ตาม การเป็นหนึ่งในผู้เล่นตัวสำคัญของตลาดสัตว์ปีกโลกไม่ได้การันตีขั้นตอนการผลิตและการดูแลที่ดีเพื่อให้สัตว์มีความสุขเสมอไป เพราะข้อกำหนดมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ของสหภาพยุโรปวัดเพียงมาตรฐานขั้นต่ำเท่านั้น เพราะตัวชี้วัดมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ 4 ประเด็น ได้แก่ :
- การใช้สายพันธุ์โตช้า
- การเสริมสร้างสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการแสดงพฤติกรรมทางธรรมชาติ
- การปล่อยให้มีแสงจากธรรมชาติส่องเข้าถึงโรงเรือน
- การควบคุมความหนาแน่นของประชากรไก่ในฟาร์ม
ซึ่งทั้งหมดถือเป็นหัวใจสำคัญในการจัดการสวัสดิภาพไก่เนื้อ ยังไม่เข้าเกณฑ์ที่สร้างความมั่นใจได้ว่า ไก่ในฟาร์มจะมีชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง
ความสุขที่แท้จริงสำหรับไก่ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
สวัสดิภาพสัตว์ คือการที่สัตว์ได้รับการเลี้ยงและดูแลให้สัตว์มีความสุขกายสบายใจ มีสุขอนามัยที่ดี มีที่อยู่สะดวกสบาย ได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ โดยยึดหลักการ 5 ประการ (Five Freedoms) ในการเลี้ยงและปฏิบัติต่อสัตว์ ได้แก่
- อิสระจากความหิวกระหาย
- อิสระจากความไม่สบายกาย
- อิสระจากความเจ็บปวดและโรคภัย
- อิสระจากความกลัวและไม่พึงพอใจ
- อิสระในการแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ
การเลี้ยงไก่ของฟาร์มที่มีการจัดการสวัสดิภาพสัตว์ที่ดีนั้น รวมถึงการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสุขภาพจิตไก่ และวิธีการฆ่าไก่โดยที่ไม่ทำให้สัตว์เกิดความกลัวและทุกข์ทรมาน Better Chicken Commitment ซึ่งเป็นข้อตกลงเรื่องความมุ่งมั่นในการเพิ่มสวัสดิภาพไก่ให้ดีขึ้น
จัดทำโดยองค์กรปกป้องสิทธิสัตว์ต่างๆ อาทิ Royal Society for the Prevention of Cruelty to Animals, Compassion in World Farming, The Humane League UK และ World Animal Protection เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้แนวทางแก่อุตสาหกรรมอาหารในการยกระดับคุณภาพชีวิตไก่ให้ดีขึ้น โดยมีข้อกำหนดพื้นฐาน ดังนี้
- ควบคุมความหนาแน่นในการอยู่อาศัยของไก่ ไม่เกิน 30 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
- คัดเลือกสายพันธุ์ไก่ที่เติบโตในอัตราที่ช้าลง
- ปรับปรุงมาตรฐานสภาพแวดล้อมในการเลี้ยงไก่ที่รวมไปถึงการปรับโรงเรือนให้ไก่ได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ไก่แสดงออกพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น การติดตั้งคอนเกาะ
- มาตรการในการทำให้ไก่สลบก่อนมีการจับไก่เข้าสู่กระบวนการการฆ่าเช่น การใช้ก๊าซเฉื่อย
- มีการรับรองการปฏิบัติตามมาตรฐานโดยองค์กรผู้ให้การรับรอง (Third-party Audit) ข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณชน และตรวจสอบได้
Better Chicken Commitment ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า จะช่วยก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางสวัสดิภาพที่ดีขึ้นต่อไก่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหลีกเลี่ยงการใช้ ‘ไก่สายพันธุ์เร่งโต’ ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่อไก่เป็นอย่างมาก เป็นสาเหตุการตายและการคัดทิ้งในอุตสาหกรรมการผลิตไก่เนื้อ ซึ่งสร้างความกังวลใจให้กับองค์กรปกป้องสวัสดิภาพสัตว์ และเกิดข้อกังขาในกลุ่มผู้บริโภค
‘ไก่สายพันธุ์เร่งโต’ หน้าตาเป็นอย่างไร?
ไก่สายพันธุ์เร่งโต หรือ ‘ไก่โตไว’ เป็นผลมาจากการปรับปรุงคัดเลือกสายพันธุ์ให้ไก่เติบโตในอัตราที่รวดเร็ว พูดให้เข้าใจกันง่าย ๆ ในช่วงห้าศตวรรษที่ผ่านมา ฟาร์มไก่ทั่วโลกสามารถผลิตเนื้อไก่ที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็น 4 เท่าตัว
โดยมีชีวิตอยู่แค่เพียง 42 วันเท่านั้น จากงานวิจัยที่ผ่านมาพบปัญหามากมาย ทั้งด้านสวัสดิภาพสัตว์ ประสิทธิภาพในการผลิตและคุณภาพของเนื้อไก่ที่มาพร้อมกับอัตราการเจริญเติบโตของไก่ที่เร็วเกินไป
ไก่สายพันธุ์เร่งโตมักมีปัญหากล้ามเนื้อขาผิดปกติ ซึ่งนำไปสู่การคัดทิ้งและทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่สูญเสียรายได้ในที่สุด กล้ามเนื้อกลายเป็นเส้นสีขาว (White Stripping) มีโอกาสทำให้คุณภาพเนื้อไก่เกิดปัญหา 63-78%
ในขณะที่ปัญหาเนื้อแข็ง (Wooden Breast) มีโอกาสทำให้เนื้อไก่ต้องถูกดาวน์เกรดและขายได้ราคาน้อยลงมากถึง 23% อีกทั้งยังทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับไขมันเข้าสู่ร่างกายเพิ่มสูงขึ้น
ยกตัวอย่าง ประเทศสหรัฐอเมริกาต้องประสบปัญหาปัญหากล้ามเนื้อกลายเป็นเส้นสีขาวและปัญหาเนื้ออกแข็งเหมือนไม้อยู่เป็นประจำจนทำให้อุตสาหกรรมผลิตเนื้อไก่สูญเสียรายได้ไปมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปี
ปัญหาคุณภาพเนื้อไก่มีปัญหายังพบได้อย่างกว้างขวางในอิตาลี สเปน บราซิล ตุรกี และฟินแลนด์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่ยังมีการใช้ไก่สายพันธุ์เร่งโตเป็นหลักเช่นเดียวกับประเทศไทย ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้ประกอบการจึงต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจากความสูญเสียที่เกิดจากคุณภาพของเนื้อไก่ที่ต่ำลง
การเร่งโตและการถูกเลี้ยงอย่างแออัดภายในโรงเรือนทำให้ไก่ใช้ชีวิตโดยปราศจากสวัสดิภาพสัตว์ที่ดี ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพตามมา เช่น ระบบหายใจล้มเหลว การทำงานของหัวใจที่ผิดปกติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาการขาพิการหรือขาอ่อนแรงเนื่องจากต้องรองรับน้ำหนักตัวที่มากเกินไป
ซึ่งพบได้ในอัตราที่สูงและสร้างความเจ็บปวดให้ไก่เป็นอย่างมาก แต่ยังเป็นปัญหาที่ถูกละเลยและไม่ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพในประเทศไทย ในทางกลับกัน งานวิจัยที่ผ่านกลับไม่พบปัญหาสุขภาพเหล่านี้เลยในไก่ที่เติบโตในอัตราที่ช้าลง
การเลี้ยงไก่โตช้าทำให้ผู้ประกอบการยิ่งขาดทุน?
ถึงแม้การใช้สายพันธุ์ที่โตช้าจะต้องใช้ระยะเวลาและอาหารในการเลี้ยงมากขึ้น แต่งานวิจัยของ Eat. Sit. Suffer. Repeat. จัดทำโดย RSPCA กลับพบว่า การใช้สายพันธุ์โตช้ามีประสิทธิภาพมากกว่าในเชิงการผลิต หรือความคุ้มทุน (Cost Effective) มากกว่าสายพันธุ์ที่โตเร็วด้วยหลายเหตุผล อาทิ อัตราการตายในสายพันธุ์ไก่โตช้ามีเพียง 5.2% เท่านั้น เมื่อเทียบกับอัตราการตาย 11.2% ในไก่สายพันธุ์เร่งโต
นอกจากนี้ ไก่สายพันธุ์โตเร็วยังประสบปัญหาขาพิการ (Lameness Legs) มากกว่า ทำให้ผู้ประกอบการกว่า 26-38% ต้องคัดไก่เหล่านี้ทิ้ง อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยจากศูนย์วิจัยด้านการเกษตรชั้นนำของโลก ณ มหาวิทยาลัยวาเคอนิงเงิน (Wageningen University) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2561 พบว่า
การเปลี่ยนถ่ายวิธีเลี้ยงไก่เนื้อแบบ “ดั้งเดิม” มาเป็นระบบการเลี้ยง “ในร่ม” ที่เน้นการดูแลสวัสดิภาพสัตว์ในเมืองนั้น มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียง 2 – 3 บาทต่อกิโลกรัมของต้นทุนการเลี้ยงแบบเดิม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ตอนแรก ในขณะที่ผู้บริโภคเองเต็มใจที่จะรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น หากสัตว์ได้รับการดูแลสวัสดิภาพที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
กระแสต่อต้านไก่เร่งโตในสหภาพยุโรป
ในขณะที่ฝ่ายผู้ผลิตและผู้ขายเนื้อไก่ของเมืองไทยมักหยิบยกประเด็นการเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่สู่สหภาพยุโรป แต่วันนี้ กระแสความตื่นตัวต่อต้านผลิตภัณฑ์ที่เพิกเฉยต่อสวัสดิภาพสัตว์กำลังก่อตัวขึ้น หนึ่งในนั้น คือกระแสต่อต้าน “ไก่พลอฟกิน” (Plofkip Chicken) หรือ การต่อต้านไก่ที่เจริญเติบโตเร็วผิดปกติเพื่อเร่งการผลิตเนื้อ
ความไม่พอใจของผู้บริโภค การรวมตัวกันขององค์กรปกป้องสิทธิสัตว์ และการตรวจสอบความโปร่งใสในอุตสหากรรมผลิตเนื้อไก่ของภาครัฐ ทำให้ผู้ประกอบการต้องลุกมาปรับปรุงมาตรฐานการผลิตอย่างเร่งด่วน
เทรนด์ไก่โตช้ากำลังเพิ่มสัดส่วนในตลาดของประเทศฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ในขณะที่ไก่สายพันธุ์โตช้าได้ครอบครองตลาดค้าปลีกเนื้อไก่สดของประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นที่เรียบร้อย
ไม่ใช่มุมมองเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่ประเทศไทยควรเป็นประเทศต้นแบบและเป็นผู้นำที่เริ่มใส่ใจเรื่องหลักสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มไก่อย่างแท้จริง เพื่อรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกเนื้อไก่สู่ตลาดโลก และสร้างชื่อเสียงในมิติสวัสดิภาพสัตว์ให้กับประเทศ
ผู้บริโภคเองก็มีสิทธิรับรู้ข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกบริโภคสิ่งที่ดีกับตัวเอง วันนี้ ทุกท่านสามารถร่วมรณรงค์หยุดการทรมานไก่ในฟาร์มระดับอุตสาหกรรมกับเราได้สองช่องทาง
2.) เข้าร่วมกิจกรรม #วิ่งเพื่อไก่ ‘Change For Chickens RUN 2020’ 🐔 ระยะทาง 5 กิโลเมตร ที่กำลังจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน 2563 ณ สนามกอล์ฟ Pattana Sports Resort จังหวัดชลบุรี
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทางองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกจึงเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้น เพื่อชี้แจ้งจุดยืนขององค์กรฯ เรื่องมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ของตลาดสัตว์ปีกที่ตั้งอยู่บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และงานวิจัยและเพื่อเป็นการแสดงความเห็นของทางองค์กรต่อจากบทความ “อย่าบิดเบือนหลักสวัสดิภาพสัตว์ด้วยไก่โตช้า” ของ น.สพ.สุเมธ ทรัพย์ชูกุล ซึ่งปรากฎบนหน้าเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา
สวัสดิภาพสัตว์ คือการที่สัตว์ได้รับการเลี้ยงและดูแลให้สัตว์มีความสุขกายสบายใจ มีสุขอนามัยที่ดี มีที่อยู่สะดวกสบาย ได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ โดยยึดหลักการ 5 ประการ (Five Freedoms)